สวัสดีค่ะทุกๆคน วันนี้เจ้าของกระทู้ขอมาอัพเดทภาคต่อเรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 11 นะคะ เป็นเรื่องต่อจากตอนที่ 10 นะคะสำหรับใครที่รอกันอยู่ ^ ^ ขอบคุณมากๆที่ติดตาม ทุกๆแชร์ทุกๆคอมเมนต์นะคะ 😊🙏 กำลังใจเขียนมาเต็ม เราจะพยายามเขียนมาลงให้อ่านเล่นกันเสมอๆนะคะ วันนี้ลองมาอ่านกันเลย กับตอนที่ชื่อว่า
" เส้นทางเพื่อความก้าวหน้า (อันแสนขรุขระ) ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ ปล.ตอนนี้ยาวเกิน ขอแปะส่วนที่เหลือไว้ในคอมเมนต์ที่ 1 นะคะ
" คำตอบของเพื่อนรักทำให้เราอิ่มทิพย์..
จากหิวเล็กๆ ก็เกิดอยากนอนขึ้นมาในทันที
"แกโกรธเรารึเปล่า? เดี๋ยวเราโทรกลับไปที่หัวหน้าเราเดี๋ยวนี้เลย" เพื่อนเราคงคิดได้ว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรเกิดขึ้น นางจึงพยายามจะแก้ไขสถานการณ์
เราชะงักไปชั่วขณะ ภาษาชาวบ้านคงเรียกได้ว่าอึ้ง-ไปนั่นเอง แต่ก็ได้แต่ตั้งสติและตอบกลับไปไม่ให้ทิ้งช่วงนาน
"เปล่าแก เราเข้าใจว่าลืม เออ.. โทรให้หน่อยดิ่ เผื่อหัวหน้าแกช่วยเราได้"
"ได้ๆ" สีหน้านางดูแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็รีบกดโทรแต่โดยดี
ตื๊ดด.. "ฮัลโหล.. "
นางคุยกับปลายสายด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เพียงดูจากสีหน้าก็พอรู้ว่าทางนั้นคงไม่ให้ความช่วยเหลือ
ส่วนเราตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวชาๆ คล้ายจะปลงตกและอ่อนใจ
เมื่อเพื่อนรักนางวางสาย แล้วบอกคำตอบที่ได้กับเรา
ตามคาด..
"เปลี่ยนไม่ได้ว่ะ เค้าบอกให้แกไปคุยกับหัวหน้าแกเองดู"
.......................................
วันเวลาเหมือนผ่านไปช้านาน ทั้งๆที่จริงๆแล้วแค่ 5 วันแห่งการรอคอย หักวันหยุดในวันพรุ่งนี้ไป มันก็แค่ไปบินไฟลท์นึงกลับมา ก็ครบ!
เราพยายามให้กำลังใจตัวเองตลอด เดี๋ยวหัวหน้าจะกลับมา แล้วเค้าจะช่วยเรา ตอนนี้ขอเพียงใจเย็นๆก่อน
สงสัยว่าเราจะเมายาแก้หวัด ไม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า เพราะเวลานั่งสูดน้ำมูกเตรียมล้มตัวลงนอนทีไร น้ำตาบางทีมันก็ไหลออกมาเองทุกที ไม่ได้อยากจะรู้สึกแบบนี้ ~ แต่บางที.. ความอยุติธรรม เล่นพรรคเล่นพวกกัน มันก็มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเลยจริงๆ
ไฟลท์ที่มี.. ก็คือบินข้ามคืนไปจาการ์ตา ความยาว 8 ชั่วโมงกว่าๆ ตื่นจากอาบูดาบีตั้งแต่สี่ทุ่ม กว่าจะเข้าเช็คอินเข้าที่โรงแรมที่จาการ์ตาก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆของที่นั่น ร่างกายมันถึงไม่ฟื้นเสียทีสินะเรา
และเมื่อเหยียบเข้าห้องปุ๊ป ก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปหาข้าวกินทันที เพื่อกินยา นอน! คิดอย่างเดียว.. เราต้องผ่านไฟลท์นี้ไปให้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงที่ควรลาป่วยเลยจริงๆ
เดี๋ยวตื่นมาบินกลับอาบูดาบี ก็จะได้พอดีกับวันที่หัวหน้ากลับมาแล้วสินะ
สลึมสลือจากฤทธิ์ยาแก้แพ้อากาศ เราจึงหักดิบ ด้วยกาแฟเข้มๆ 2 ซองเพื่อให้ตื่นไปบินกลับด้วยสติเต็ม 100%
รอด!!
กลับมาแว้ววว
กระเป๋าเดินทางเบ๊าเบา.. ปกติไปจาการ์ตาเรานิต้องจัดยาคูลท์มารัวๆ เพราะที่นั่นถูก และมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลาย อาหารเหมือนไทย ราคาก็ใกล้เคียงกัน
แต่ด้วยสังขาร เอาให้รอดกลับมาเช็คเมล์ก็บุญแล้ว
เราพุ่งหลาวเข้ารถตู้ทันทีเมื่อเดินออกมานอกตัวอาคารสนามบิน ณ จุดรับลูกเรือที่รอคอย
แม้ยามวิกาลเที่ยงคืนแบบนี้จะเป็นเวลาที่ทุกคนหลับ แต่สำหรับชีวิตลูกเรือของเราแล้ว ยามนี้แหละที่ไฟลท์หลายๆไฟลท์แลนด์กันกลับฐานรัวๆ รถตู้เต็มแล้วเต็มอีกจนต้องเปิดเบาะเสริมกันเลยทีเดียว
..และแล้ว การท่องเที่ยวชมวิวกรุงอาบูดาบีก็เกิดขึ้นเช่นเคย
วันนี้จัดเบาๆ มีแอร์สจ๊วตกว่า 20 ชีวิตในรถ และมาจาก 5 ตึกด้วยกัน
คนขับรถชาวปากีสถานที่น่ารักก้าวขึ้นมาในรถนั่นคือวินาทีที่ทุกคนรอคอย ออกรถซะทีเถ๊อะะ..
พี่เค้ามาเปิดด้วยการถามว่าใครมาจากตึกไหนกันบ้าง ก่อนจะวาง route ในหัวแกเล็กๆ แถมสั่นหัวอีก 2 ทีแล้วลงไปขับ
อ่ะ.. ตึกที่ 1 ตึกใกล้ๆกับสนามบิน มีลูกเรือพักอยู่หนึ่งนาง รอนางเก็บกระเป๋าและลากลงไปสวยๆ อ่ะ.. ปายย
ตึกที่ 2 อยู่อีกมุมนึงของเมือง ลูกเรืออีก 2 นาง คุยกันจ้อกแจ้กสโลว์โมชั่นระหว่างลากกระเป๋าลงไป
อ่ะ.. ตึกที่ 3 เลี้ยวอ้อมไปที่อีกมุมของเมือง เป็นทางผ่านมาตึกเราพอดี มีสจ๊วตใส่หูฟังวิ่งพรวดออกไปอีกหนึ่งนาง ดูนางมีความสุ๊ข มีความสุขจัง
อ่ะ.. ตึกที่ 4 ตึกเราน่ะเอง สัปหงกแล้ว สัปหงกอีก.. หลับพิงจนหมวกบี้แบนเลยกว่าจะถึง
ส่วนตึกที่ 5 ..ไม่อยากจะคิด เหลือบไปเห็นราวๆ 2 นางนั่งอยู่ พยายามหลบสายตากับพวกนางระหว่างเดินมาลากกระเป๋าออกไปจากรถ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงรังสีแห่งความเหนื่อยล้าและพลังชีวิตที่กำลังขาดผึง
ขอให้เธอโชคดีนะทุกคน!
บร๊ายยย..
กว่าจะถึงตึก.. เหนื่อยหยั่งกับไปปีนภูกระดึงและพายเรือคายัคก่อนลอดถ้ำอีก 18 ที
ด้วยความมึนงงในฤทธิ์ยาตีกับกาแฟ และความเครียดระแวงสะสมกันมานานนับเดือน
เมื่อเหยียบเข้าตึก เราจึงเกิดอาการปลง ไม่รีบเช็คเมล์จากคอมใต้ตึก และเดินเข้าลิฟต์ไปเลย
อาบน้ำ เก็บของ แยกกระเป๋า
แล้วถึงเช็คเมล์ก่อนนอน
แต๊แนนน!!!
หัวหน้าเมล์ตอบมาตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว
ดีใจจังเลย ตื่นเต้นสุด!
หัวหน้าส่งมาว่าไงนาา.. ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ลองอ่านซิ
"เรียน คุณเบญจวรรณ
ทำไมคุณถึงไม่หาทางไปสัมภาษณ์ด้วยตัวเองล่ะ คุณควรจะสลับไฟลท์เป็นแบบไปกลับรัวๆ 3 วันแล้วหาทางไปสัมภาษณ์เองนะ คนอื่นๆเค้าก็ทำกัน คุณกระตือรือร้นพอแล้วหรือยัง?
ด้วยความเคารพ
หัวหน้า"
อึ้ง.. 5 นาที
สูดน้ำมูก 2 ฟื้ดแรงๆ มองบน มืองี้สั่นกึกๆๆ
อย่าเคารพกันเลยค่ะ ถ้าจะเขียนตอบกันมาแบบนี้ ด้วยความเมายาแก้หวัดสะสมมานาน หรือความเป็นตัวตนเราเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเจอเรื่องไม่น่าอภิรมย์มามากมายจนทำให้เราแกร่งขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงส่งตอบไปว่า "ขอโทษ" สั้นๆแล้วยอมรับชะตากรรม
แต่มาวันนี้ ศรีจะไม่ทน! หลังมันชนฝาก็ต้องสู้ไม่ก็ถูกบี้ตาย
เรากดคลิก Reply แล้วพิมพ์ตอบกลับไปอย่างสติหลุด จิตหลุดไม่สมประดี
"เรียน หัวหน้า
ขออภัยที่อีเมล์ฉบับนี้ได้รบกวนคุณ หากแต่ดิฉันไม่คาดคิดว่าคุณจะเกี่ยงงานและไม่ช่วยลูกน้องอย่างที่ควรจะเป็นเช่นนี้ ในเรื่องนี้คือความก้าวหน้าของตัวดิฉันเอง และดิฉันจะพยายามทำจัดการด้วยตัวเอง
ขอบคุณ
ด้วยความเคารพ
เบญจวรรณ"
SEND - กด!
ช่างมัน อะไรจะเกิด.. มันก็ต้องเกิด จุดนี้จะไม่ทน
กระโดดลงเตียง โพละ! ปล่อย.. และวาง..
หลับซะเบย คร่อก!
รุ่งขึ้น
ตื่นมาช่วงเที่ยงเกือบบ่าย พึงระลึกในใจในแว้บแรกที่ตื่นว่าเมื่อคืนได้สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ และผลของมันอาจรอเราอยู่ในอีเมล์
เอาวะ! ก่อนกินข้าวเที่ยงนี่แหละ
เปิดแลปทอปคู่ใจ แล้ว Sign in เข้าเมล์บริษัททันที
จ้าาา... ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่อง
คุณหัวหน้าเมล์กลับสิคะ! จะมีอะไร
"เรียน เบญจวรรณ
คุณกล่าวหาว่าผมไม่ทำงานหรือ? เห็นทีเราจะต้องนัดเจอกันหน่อยละ บอกเวลาที่สะดวกมาได้เลย ผมเช็คตารางคุณแล้วว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมว่างทั้งวัน นัดมาได้เลย
ด้วยความเคารพ
หัวหน้า"
ฟื้ดดดดดดดด... ยาวๆ
ทั้งน้ำมูก และน้ำตา ไหลมากองรวมกันที่จมูก
แหม่.. นี่จรรยาบรรณคนเป็นหัวหน้าสินะ
ครั้งนี้โกรธจนน้ำตาไหลจริงๆ
กว่า 2 ปีภายใต้การดูแล เราไม่เคยรบกวนหรือทำอะไรผิดแม้แต่ครั้ง ลาป่วยก็ไม่ลา จนมีคูปอง IKEA จากบริษัทให้เป็นของรางวัลซะด้วยซ้ำ
นี่คือครั้งแรกที่ขอความช่วยเหลือ แต่กลับตอบกลับมาได้บาดใจหลายๆ หากอยากใช้อำนาจท้าทายกันแบบนี้ เราก็คงไม่มีอะไรจะเสีย
พิมพ์ไปร้องไห้ไป พ่อแม่ช่วยด้วย.. ครั้งนี้หนูไม่ยอมจริงๆนะ
"เรียน หัวหน้า
ใช่ค่ะ คุณไม่ทำงาน ไม่สนับสนุนช่วยเหลือลูกน้องตามสมควร ดิฉันได้เปรียบเทียบกับวิธีการทำงานของหัวหน้าอีกท่านของเพื่อนผู้ซึ่งโทรมามอบความช่วยเหลือแม้ในยามวิกาลและผลักดันจนปัญหาแล้วเสร็จในทันที ในขณะที่คุณเริ่มบทสนทนาด้วยการต่อว่าและไร้ซึ่งการสนับสนุนความก้าวหน้าของลูกน้องอย่างสิ้นเชิง พรุ่งนี้ชั้นจะไปหาคุณตอนเที่ยงและเราจะได้ถกกันประเด็นนี้
ด้วยความเคารพ
เบญจวรรณ"
SEND !
ช่างแม่มละ..
"เป็นต่างชาติอพยพเช่นกันแท้ๆ แต่ไร้ซึ่งน้ำใจไมตรี" เราบ่นอุบอิบๆในลำคอด้วยความเจ็บใจ
พลางลุกขึ้นเตรียมกางเกงสแลคสีดำและเสื้อสูททางการสำหรับเข้าออฟฟิศไปพบกับนางในวันพรุ่งนี้ตามคำท้า
และแล้ว..
อีเมล์ตอบกลับของนางก็เข้ามาในเพียงอีกไม่กี่อึดใจ พร้อมเบอร์โทรของฝ่ายบุคคลให้เราติดต่อย้ายวันสัมภาษณ์ นางบอกว่าถ้าติดต่อไม่ได้ให้บอกนางได้เสมอ นางจะช่วย และพรุ่งนี้ตอนเที่ยง นางไม่ว่างแล้ว ขอยกเลิกนัด
ตามนั้น..
ปิดดีล!
ถ้าเราไม่สู้ เราคงถูกเหยียบตาย แต่ดีที่สู้.. อย่างน้อยก็รอด
เหนื่อยว่ะ.. ยังไม่ทันได้ไปสัมภาษณ์ก็เล่นกันซะหลังอานละ
เรากลั้นใจอดทนรีบโทรไปตามเบอร์ที่นางให้มาในทันใด
ตู๊ดด.. กึก
"ฮัลโหล ชั้นโทรมาเลื่อนวันสัมภาษณ์เลื่อนตำแหน่งค่ะ หัวหน้าให้โทรมาค่ะ"
"เหรอ ได้สิ ถ้าย้ายวัน คุณต้องเข้ามาติดต่อด้วยตัวเองที่ออฟฟิศนี่นะ โอเค๊? บราย!"
กึก! .. วางสายเลยค่ะ จะไม่มีขั้นตอนไหนลดราวาศอกให้ชีวิตเดี๊ยนได้นอนซ่อมร่างอยู่กับบ้านจริงๆใช่มั้ยคะ?!
อ่ะ.. ลุกแต่งตัวสิคะ จะรออะไร!
ไอ้กางเกงสแลคสีดำกับสูทที่เตรียมไว้นี่ได้ใช้ทันที หอบสังขารเรียกแท็กซี่ บึ่งไปกว่า 40 นาทีจึงจะถึงออฟฟิศที่รัก
เดินพุ่งหลาว 4 x 100 เมตรไปแจ้งพี่อินเดียคนหนึ่งในแผนกเพราะกลัวไม่ทันเวลาเลิกงาน
พี่ท่านเอี้ยวหัวเบาๆมาถาม..
"รหัสพนักงานคือ??"
เรารีบพูดรหัสพนักงานเรารัวๆพลัวะๆกลัวพี่เค้าจะเปลี่ยนใจ
พี่อินเพียงพยักหน้า 2 ทีก่อนหมุนเก้าอี้ 180 องศาหันไปกดย้ายวันสัมภาษณ์ของเราให้เป็นวันที่ 1 พย.โดยพลัน โดยมิได้แม้แต่เช็คบัตรพนักงานของเราเลยด้วยซ้ำ
"เสร็จแล้น"
พี่กล่าว
" สิ้นสุดกันที ..ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เท่านี้ก็สาแก่ใจ .. " เรานี่ฮัมเพลงนี้อยู่ในลำคอตลอดเว ว่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ! ถ้าพี่จะให้หนูถ่อมาถึงที่นี่ เพียงเพื่อมาสบหางตากับพี่รึ?!
ใจเราแอบคิดแต่อีกใจนึงก็บอกตัวเอง ..ช่างมันเห๊อะะ จบๆกันซะที
เดินออกไปโบกแท็กซี่และนั่งกลับบ้านราวๆ 40 นาที โดนค่าแท็กซี่ไปเบ็ดเสร็จพันกว่าบาท! อยากหัวเราะยาวๆให้กับชีวิตอีกที
555555555555555555 เอิ๊ก!
กลับถึงห้อง กินยา นอน น้ำตาซึม
เดี๋ยวบินอีกแค่ 2 ไฟลท์ ก็ถึง..
"วันสัมภาษณ์"
ขอไม่คาดหวังละกันนะ เพราะเหนื่อยมาพอแล้ว
เราได้รอบ 10 โมงเช้า ส่วนเพื่อนรักได้รอบ 11 โมง นางนั่งรถตู้มาด้วยตั้งแต่รอบ 9 โมงเช้าเพื่อให้กำลังใจเรา
บัดนี้ อาการหวัดของเราทุเลาลง แต่ดูเหมือนจะลามเป็นไซนัสแทนเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เป็นเรื้อรังยาวนานเกินและร้องไห้ในช่วงที่ป่วยนี้อยู่บ่อยครั้ง
เข้าห้องสัมภาษณ์กลุ่ม พบว่า.. ไม่มีชื่อและรหัสพนักงานเราอยู่ในกระดาษรายชื่อ
"เลิศส์" หากมี 10 เราให้ 10 เต็มเลย ความดีงามของดวงในช่วงนี้ Smooth as Silk จริงๆ
ดีที่ทางกรรมการนางบอก "เขียนเติมไปเลยค่ะคุณ"
"คร่ะ" เมื่อเราเขียนรหัสพนักงานเสร็จ ยังไม่ทันจะเขียนชื่อ นางก็ดึงกระดาษรายชื่อไปพร้อมบอก "It's Ok."
ตามข่าวลือเด๊ะ สัมภาษณ์กลุ่ม หรือ Group Discussion น่ะเอง ด่านประหนึ่งมาสมัครแอร์ใหม่ ทุกคนมีกระดาษอยู่ตรงหน้าแล้วให้ช่วยกันเอาข้อมูลมาประติดประต่อกันเป็นตารางบิน แต่ครานี้.. โจทย์คือห้ามมองกระดาษเพื่อนเลย
15 นาที เป๊ง.. เริ่มค่ะ!!
น้องเคนยาที่นั่งติดกับเราฟังโจทย์รู้เรื่องมาก สิ้นเสียงกรรมการปุ๊ป นางยื่นหัวมาอ่านกระดาษเราปั๊บ
ไม่ต้องมีญาณทิพย์เราก็รู้ทันทีว่านางแห้วแน่ พยายามสะกิดบอกนางเบาๆ แต่มันก็สายเกินไป
ส่วนเรา แม้นจะผ่านดรามามานานเนิ่นจนใจชาเพียงใด แต่เมื่อเริ่มการสอบ จิตวิญญาณแห่งสตอเบอร์รี่ชีสเค้กโลกสวยก็พุ่งเข้าร่างในบัดดล
ยิ้มสุด พอใครพูดอะไรก็ทำท่าใส่ใจสุดฤทธิ์ และออกตัวช่วยประสานงานพอเป็นพิธี
กรรมการนี่จดยิกๆอีกคนก็จิกตามอง พอครบเวลาก็มีหน่วยกล้าตายจากกลุ่มออกไปเขียนพรีเซนต์บนกระดานในฐานะตัวแทน
หึหึ พี่ฝรั่งแน่นอน จะใครล่ะ
เท่านั้นก็เป็นอัน.. เสร็จกระบวนการสัมภาษณ์
จบ!! รอรับผลทางอีเมล์อีก 2 สัปดาห์
" สิ้นสุดกันที ..ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน " เพลงของอาจารย์สุรพลก็ขึ้นอินโทรอยู่ในจิตส่วนลึกของเราอีกครั้ง พร้อมคำสั้นๆ "จบนะ!!"
เปิดประตูออกมา เพื่อนรักก็ได้เดินเข้ามาประกบ และถามเราทันทีถึงหัวข้อที่ใข้สอบ ก่อนนางจะเดินเข้าไปสัมภาษณ์สวยๆรอบถัดไป
(ต่อในคอมเมนต์นะคะ ^ ^)
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 11 : เส้นทางเพื่อความก้าวหน้า (อันแสนขรุขระ) ✈️✨ "
" เส้นทางเพื่อความก้าวหน้า (อันแสนขรุขระ) ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ ปล.ตอนนี้ยาวเกิน ขอแปะส่วนที่เหลือไว้ในคอมเมนต์ที่ 1 นะคะ
" คำตอบของเพื่อนรักทำให้เราอิ่มทิพย์..
จากหิวเล็กๆ ก็เกิดอยากนอนขึ้นมาในทันที
"แกโกรธเรารึเปล่า? เดี๋ยวเราโทรกลับไปที่หัวหน้าเราเดี๋ยวนี้เลย" เพื่อนเราคงคิดได้ว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรเกิดขึ้น นางจึงพยายามจะแก้ไขสถานการณ์
เราชะงักไปชั่วขณะ ภาษาชาวบ้านคงเรียกได้ว่าอึ้ง-ไปนั่นเอง แต่ก็ได้แต่ตั้งสติและตอบกลับไปไม่ให้ทิ้งช่วงนาน
"เปล่าแก เราเข้าใจว่าลืม เออ.. โทรให้หน่อยดิ่ เผื่อหัวหน้าแกช่วยเราได้"
"ได้ๆ" สีหน้านางดูแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ก็รีบกดโทรแต่โดยดี
ตื๊ดด.. "ฮัลโหล.. "
นางคุยกับปลายสายด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เพียงดูจากสีหน้าก็พอรู้ว่าทางนั้นคงไม่ให้ความช่วยเหลือ
ส่วนเราตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวชาๆ คล้ายจะปลงตกและอ่อนใจ
เมื่อเพื่อนรักนางวางสาย แล้วบอกคำตอบที่ได้กับเรา
ตามคาด..
"เปลี่ยนไม่ได้ว่ะ เค้าบอกให้แกไปคุยกับหัวหน้าแกเองดู"
.......................................
วันเวลาเหมือนผ่านไปช้านาน ทั้งๆที่จริงๆแล้วแค่ 5 วันแห่งการรอคอย หักวันหยุดในวันพรุ่งนี้ไป มันก็แค่ไปบินไฟลท์นึงกลับมา ก็ครบ!
เราพยายามให้กำลังใจตัวเองตลอด เดี๋ยวหัวหน้าจะกลับมา แล้วเค้าจะช่วยเรา ตอนนี้ขอเพียงใจเย็นๆก่อน
สงสัยว่าเราจะเมายาแก้หวัด ไม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า เพราะเวลานั่งสูดน้ำมูกเตรียมล้มตัวลงนอนทีไร น้ำตาบางทีมันก็ไหลออกมาเองทุกที ไม่ได้อยากจะรู้สึกแบบนี้ ~ แต่บางที.. ความอยุติธรรม เล่นพรรคเล่นพวกกัน มันก็มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเลยจริงๆ
ไฟลท์ที่มี.. ก็คือบินข้ามคืนไปจาการ์ตา ความยาว 8 ชั่วโมงกว่าๆ ตื่นจากอาบูดาบีตั้งแต่สี่ทุ่ม กว่าจะเข้าเช็คอินเข้าที่โรงแรมที่จาการ์ตาก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆของที่นั่น ร่างกายมันถึงไม่ฟื้นเสียทีสินะเรา
และเมื่อเหยียบเข้าห้องปุ๊ป ก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปหาข้าวกินทันที เพื่อกินยา นอน! คิดอย่างเดียว.. เราต้องผ่านไฟลท์นี้ไปให้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่ช่วงที่ควรลาป่วยเลยจริงๆ
เดี๋ยวตื่นมาบินกลับอาบูดาบี ก็จะได้พอดีกับวันที่หัวหน้ากลับมาแล้วสินะ
สลึมสลือจากฤทธิ์ยาแก้แพ้อากาศ เราจึงหักดิบ ด้วยกาแฟเข้มๆ 2 ซองเพื่อให้ตื่นไปบินกลับด้วยสติเต็ม 100%
รอด!!
กลับมาแว้ววว
กระเป๋าเดินทางเบ๊าเบา.. ปกติไปจาการ์ตาเรานิต้องจัดยาคูลท์มารัวๆ เพราะที่นั่นถูก และมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลาย อาหารเหมือนไทย ราคาก็ใกล้เคียงกัน
แต่ด้วยสังขาร เอาให้รอดกลับมาเช็คเมล์ก็บุญแล้ว
เราพุ่งหลาวเข้ารถตู้ทันทีเมื่อเดินออกมานอกตัวอาคารสนามบิน ณ จุดรับลูกเรือที่รอคอย
แม้ยามวิกาลเที่ยงคืนแบบนี้จะเป็นเวลาที่ทุกคนหลับ แต่สำหรับชีวิตลูกเรือของเราแล้ว ยามนี้แหละที่ไฟลท์หลายๆไฟลท์แลนด์กันกลับฐานรัวๆ รถตู้เต็มแล้วเต็มอีกจนต้องเปิดเบาะเสริมกันเลยทีเดียว
..และแล้ว การท่องเที่ยวชมวิวกรุงอาบูดาบีก็เกิดขึ้นเช่นเคย
วันนี้จัดเบาๆ มีแอร์สจ๊วตกว่า 20 ชีวิตในรถ และมาจาก 5 ตึกด้วยกัน
คนขับรถชาวปากีสถานที่น่ารักก้าวขึ้นมาในรถนั่นคือวินาทีที่ทุกคนรอคอย ออกรถซะทีเถ๊อะะ..
พี่เค้ามาเปิดด้วยการถามว่าใครมาจากตึกไหนกันบ้าง ก่อนจะวาง route ในหัวแกเล็กๆ แถมสั่นหัวอีก 2 ทีแล้วลงไปขับ
อ่ะ.. ตึกที่ 1 ตึกใกล้ๆกับสนามบิน มีลูกเรือพักอยู่หนึ่งนาง รอนางเก็บกระเป๋าและลากลงไปสวยๆ อ่ะ.. ปายย
ตึกที่ 2 อยู่อีกมุมนึงของเมือง ลูกเรืออีก 2 นาง คุยกันจ้อกแจ้กสโลว์โมชั่นระหว่างลากกระเป๋าลงไป
อ่ะ.. ตึกที่ 3 เลี้ยวอ้อมไปที่อีกมุมของเมือง เป็นทางผ่านมาตึกเราพอดี มีสจ๊วตใส่หูฟังวิ่งพรวดออกไปอีกหนึ่งนาง ดูนางมีความสุ๊ข มีความสุขจัง
อ่ะ.. ตึกที่ 4 ตึกเราน่ะเอง สัปหงกแล้ว สัปหงกอีก.. หลับพิงจนหมวกบี้แบนเลยกว่าจะถึง
ส่วนตึกที่ 5 ..ไม่อยากจะคิด เหลือบไปเห็นราวๆ 2 นางนั่งอยู่ พยายามหลบสายตากับพวกนางระหว่างเดินมาลากกระเป๋าออกไปจากรถ เนื่องจากรับรู้ได้ถึงรังสีแห่งความเหนื่อยล้าและพลังชีวิตที่กำลังขาดผึง
ขอให้เธอโชคดีนะทุกคน!
บร๊ายยย..
กว่าจะถึงตึก.. เหนื่อยหยั่งกับไปปีนภูกระดึงและพายเรือคายัคก่อนลอดถ้ำอีก 18 ที
ด้วยความมึนงงในฤทธิ์ยาตีกับกาแฟ และความเครียดระแวงสะสมกันมานานนับเดือน
เมื่อเหยียบเข้าตึก เราจึงเกิดอาการปลง ไม่รีบเช็คเมล์จากคอมใต้ตึก และเดินเข้าลิฟต์ไปเลย
อาบน้ำ เก็บของ แยกกระเป๋า
แล้วถึงเช็คเมล์ก่อนนอน
แต๊แนนน!!!
หัวหน้าเมล์ตอบมาตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว
ดีใจจังเลย ตื่นเต้นสุด!
หัวหน้าส่งมาว่าไงนาา.. ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ลองอ่านซิ
"เรียน คุณเบญจวรรณ
ทำไมคุณถึงไม่หาทางไปสัมภาษณ์ด้วยตัวเองล่ะ คุณควรจะสลับไฟลท์เป็นแบบไปกลับรัวๆ 3 วันแล้วหาทางไปสัมภาษณ์เองนะ คนอื่นๆเค้าก็ทำกัน คุณกระตือรือร้นพอแล้วหรือยัง?
ด้วยความเคารพ
หัวหน้า"
อึ้ง.. 5 นาที
สูดน้ำมูก 2 ฟื้ดแรงๆ มองบน มืองี้สั่นกึกๆๆ
อย่าเคารพกันเลยค่ะ ถ้าจะเขียนตอบกันมาแบบนี้ ด้วยความเมายาแก้หวัดสะสมมานาน หรือความเป็นตัวตนเราเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเจอเรื่องไม่น่าอภิรมย์มามากมายจนทำให้เราแกร่งขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงส่งตอบไปว่า "ขอโทษ" สั้นๆแล้วยอมรับชะตากรรม
แต่มาวันนี้ ศรีจะไม่ทน! หลังมันชนฝาก็ต้องสู้ไม่ก็ถูกบี้ตาย
เรากดคลิก Reply แล้วพิมพ์ตอบกลับไปอย่างสติหลุด จิตหลุดไม่สมประดี
"เรียน หัวหน้า
ขออภัยที่อีเมล์ฉบับนี้ได้รบกวนคุณ หากแต่ดิฉันไม่คาดคิดว่าคุณจะเกี่ยงงานและไม่ช่วยลูกน้องอย่างที่ควรจะเป็นเช่นนี้ ในเรื่องนี้คือความก้าวหน้าของตัวดิฉันเอง และดิฉันจะพยายามทำจัดการด้วยตัวเอง
ขอบคุณ
ด้วยความเคารพ
เบญจวรรณ"
SEND - กด!
ช่างมัน อะไรจะเกิด.. มันก็ต้องเกิด จุดนี้จะไม่ทน
กระโดดลงเตียง โพละ! ปล่อย.. และวาง..
หลับซะเบย คร่อก!
รุ่งขึ้น
ตื่นมาช่วงเที่ยงเกือบบ่าย พึงระลึกในใจในแว้บแรกที่ตื่นว่าเมื่อคืนได้สร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้ และผลของมันอาจรอเราอยู่ในอีเมล์
เอาวะ! ก่อนกินข้าวเที่ยงนี่แหละ
เปิดแลปทอปคู่ใจ แล้ว Sign in เข้าเมล์บริษัททันที
จ้าาา... ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่อง
คุณหัวหน้าเมล์กลับสิคะ! จะมีอะไร
"เรียน เบญจวรรณ
คุณกล่าวหาว่าผมไม่ทำงานหรือ? เห็นทีเราจะต้องนัดเจอกันหน่อยละ บอกเวลาที่สะดวกมาได้เลย ผมเช็คตารางคุณแล้วว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ผมว่างทั้งวัน นัดมาได้เลย
ด้วยความเคารพ
หัวหน้า"
ฟื้ดดดดดดดด... ยาวๆ
ทั้งน้ำมูก และน้ำตา ไหลมากองรวมกันที่จมูก
แหม่.. นี่จรรยาบรรณคนเป็นหัวหน้าสินะ
ครั้งนี้โกรธจนน้ำตาไหลจริงๆ
กว่า 2 ปีภายใต้การดูแล เราไม่เคยรบกวนหรือทำอะไรผิดแม้แต่ครั้ง ลาป่วยก็ไม่ลา จนมีคูปอง IKEA จากบริษัทให้เป็นของรางวัลซะด้วยซ้ำ
นี่คือครั้งแรกที่ขอความช่วยเหลือ แต่กลับตอบกลับมาได้บาดใจหลายๆ หากอยากใช้อำนาจท้าทายกันแบบนี้ เราก็คงไม่มีอะไรจะเสีย
พิมพ์ไปร้องไห้ไป พ่อแม่ช่วยด้วย.. ครั้งนี้หนูไม่ยอมจริงๆนะ
"เรียน หัวหน้า
ใช่ค่ะ คุณไม่ทำงาน ไม่สนับสนุนช่วยเหลือลูกน้องตามสมควร ดิฉันได้เปรียบเทียบกับวิธีการทำงานของหัวหน้าอีกท่านของเพื่อนผู้ซึ่งโทรมามอบความช่วยเหลือแม้ในยามวิกาลและผลักดันจนปัญหาแล้วเสร็จในทันที ในขณะที่คุณเริ่มบทสนทนาด้วยการต่อว่าและไร้ซึ่งการสนับสนุนความก้าวหน้าของลูกน้องอย่างสิ้นเชิง พรุ่งนี้ชั้นจะไปหาคุณตอนเที่ยงและเราจะได้ถกกันประเด็นนี้
ด้วยความเคารพ
เบญจวรรณ"
SEND !
ช่างแม่มละ..
"เป็นต่างชาติอพยพเช่นกันแท้ๆ แต่ไร้ซึ่งน้ำใจไมตรี" เราบ่นอุบอิบๆในลำคอด้วยความเจ็บใจ
พลางลุกขึ้นเตรียมกางเกงสแลคสีดำและเสื้อสูททางการสำหรับเข้าออฟฟิศไปพบกับนางในวันพรุ่งนี้ตามคำท้า
และแล้ว..
อีเมล์ตอบกลับของนางก็เข้ามาในเพียงอีกไม่กี่อึดใจ พร้อมเบอร์โทรของฝ่ายบุคคลให้เราติดต่อย้ายวันสัมภาษณ์ นางบอกว่าถ้าติดต่อไม่ได้ให้บอกนางได้เสมอ นางจะช่วย และพรุ่งนี้ตอนเที่ยง นางไม่ว่างแล้ว ขอยกเลิกนัด
ตามนั้น..
ปิดดีล!
ถ้าเราไม่สู้ เราคงถูกเหยียบตาย แต่ดีที่สู้.. อย่างน้อยก็รอด
เหนื่อยว่ะ.. ยังไม่ทันได้ไปสัมภาษณ์ก็เล่นกันซะหลังอานละ
เรากลั้นใจอดทนรีบโทรไปตามเบอร์ที่นางให้มาในทันใด
ตู๊ดด.. กึก
"ฮัลโหล ชั้นโทรมาเลื่อนวันสัมภาษณ์เลื่อนตำแหน่งค่ะ หัวหน้าให้โทรมาค่ะ"
"เหรอ ได้สิ ถ้าย้ายวัน คุณต้องเข้ามาติดต่อด้วยตัวเองที่ออฟฟิศนี่นะ โอเค๊? บราย!"
กึก! .. วางสายเลยค่ะ จะไม่มีขั้นตอนไหนลดราวาศอกให้ชีวิตเดี๊ยนได้นอนซ่อมร่างอยู่กับบ้านจริงๆใช่มั้ยคะ?!
อ่ะ.. ลุกแต่งตัวสิคะ จะรออะไร!
ไอ้กางเกงสแลคสีดำกับสูทที่เตรียมไว้นี่ได้ใช้ทันที หอบสังขารเรียกแท็กซี่ บึ่งไปกว่า 40 นาทีจึงจะถึงออฟฟิศที่รัก
เดินพุ่งหลาว 4 x 100 เมตรไปแจ้งพี่อินเดียคนหนึ่งในแผนกเพราะกลัวไม่ทันเวลาเลิกงาน
พี่ท่านเอี้ยวหัวเบาๆมาถาม..
"รหัสพนักงานคือ??"
เรารีบพูดรหัสพนักงานเรารัวๆพลัวะๆกลัวพี่เค้าจะเปลี่ยนใจ
พี่อินเพียงพยักหน้า 2 ทีก่อนหมุนเก้าอี้ 180 องศาหันไปกดย้ายวันสัมภาษณ์ของเราให้เป็นวันที่ 1 พย.โดยพลัน โดยมิได้แม้แต่เช็คบัตรพนักงานของเราเลยด้วยซ้ำ
"เสร็จแล้น"
พี่กล่าว
" สิ้นสุดกันที ..ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เท่านี้ก็สาแก่ใจ .. " เรานี่ฮัมเพลงนี้อยู่ในลำคอตลอดเว ว่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ! ถ้าพี่จะให้หนูถ่อมาถึงที่นี่ เพียงเพื่อมาสบหางตากับพี่รึ?!
ใจเราแอบคิดแต่อีกใจนึงก็บอกตัวเอง ..ช่างมันเห๊อะะ จบๆกันซะที
เดินออกไปโบกแท็กซี่และนั่งกลับบ้านราวๆ 40 นาที โดนค่าแท็กซี่ไปเบ็ดเสร็จพันกว่าบาท! อยากหัวเราะยาวๆให้กับชีวิตอีกที
555555555555555555 เอิ๊ก!
กลับถึงห้อง กินยา นอน น้ำตาซึม
เดี๋ยวบินอีกแค่ 2 ไฟลท์ ก็ถึง..
"วันสัมภาษณ์"
ขอไม่คาดหวังละกันนะ เพราะเหนื่อยมาพอแล้ว
เราได้รอบ 10 โมงเช้า ส่วนเพื่อนรักได้รอบ 11 โมง นางนั่งรถตู้มาด้วยตั้งแต่รอบ 9 โมงเช้าเพื่อให้กำลังใจเรา
บัดนี้ อาการหวัดของเราทุเลาลง แต่ดูเหมือนจะลามเป็นไซนัสแทนเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่เป็นเรื้อรังยาวนานเกินและร้องไห้ในช่วงที่ป่วยนี้อยู่บ่อยครั้ง
เข้าห้องสัมภาษณ์กลุ่ม พบว่า.. ไม่มีชื่อและรหัสพนักงานเราอยู่ในกระดาษรายชื่อ
"เลิศส์" หากมี 10 เราให้ 10 เต็มเลย ความดีงามของดวงในช่วงนี้ Smooth as Silk จริงๆ
ดีที่ทางกรรมการนางบอก "เขียนเติมไปเลยค่ะคุณ"
"คร่ะ" เมื่อเราเขียนรหัสพนักงานเสร็จ ยังไม่ทันจะเขียนชื่อ นางก็ดึงกระดาษรายชื่อไปพร้อมบอก "It's Ok."
ตามข่าวลือเด๊ะ สัมภาษณ์กลุ่ม หรือ Group Discussion น่ะเอง ด่านประหนึ่งมาสมัครแอร์ใหม่ ทุกคนมีกระดาษอยู่ตรงหน้าแล้วให้ช่วยกันเอาข้อมูลมาประติดประต่อกันเป็นตารางบิน แต่ครานี้.. โจทย์คือห้ามมองกระดาษเพื่อนเลย
15 นาที เป๊ง.. เริ่มค่ะ!!
น้องเคนยาที่นั่งติดกับเราฟังโจทย์รู้เรื่องมาก สิ้นเสียงกรรมการปุ๊ป นางยื่นหัวมาอ่านกระดาษเราปั๊บ
ไม่ต้องมีญาณทิพย์เราก็รู้ทันทีว่านางแห้วแน่ พยายามสะกิดบอกนางเบาๆ แต่มันก็สายเกินไป
ส่วนเรา แม้นจะผ่านดรามามานานเนิ่นจนใจชาเพียงใด แต่เมื่อเริ่มการสอบ จิตวิญญาณแห่งสตอเบอร์รี่ชีสเค้กโลกสวยก็พุ่งเข้าร่างในบัดดล
ยิ้มสุด พอใครพูดอะไรก็ทำท่าใส่ใจสุดฤทธิ์ และออกตัวช่วยประสานงานพอเป็นพิธี
กรรมการนี่จดยิกๆอีกคนก็จิกตามอง พอครบเวลาก็มีหน่วยกล้าตายจากกลุ่มออกไปเขียนพรีเซนต์บนกระดานในฐานะตัวแทน
หึหึ พี่ฝรั่งแน่นอน จะใครล่ะ
เท่านั้นก็เป็นอัน.. เสร็จกระบวนการสัมภาษณ์
จบ!! รอรับผลทางอีเมล์อีก 2 สัปดาห์
" สิ้นสุดกันที ..ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน " เพลงของอาจารย์สุรพลก็ขึ้นอินโทรอยู่ในจิตส่วนลึกของเราอีกครั้ง พร้อมคำสั้นๆ "จบนะ!!"
เปิดประตูออกมา เพื่อนรักก็ได้เดินเข้ามาประกบ และถามเราทันทีถึงหัวข้อที่ใข้สอบ ก่อนนางจะเดินเข้าไปสัมภาษณ์สวยๆรอบถัดไป
(ต่อในคอมเมนต์นะคะ ^ ^)