วันนี้เจ้าของกระทู้มาอัพเดทภาคต่อ "เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3" แล้วนะคะ ซึ่งพาดพิงจากประสบการณ์จริงที่ผ่านมา เพื่อให้หลายๆท่านได้เห็นแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนครบทุกประเด็น และขอให้ชื่อตอนนี้ว่า
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : นี่หรือ.. ที่เค้าเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
ปล.เริ่มเครียดนิดๆนะ - -" เปลี่ยนโหมด
"หลังจากที่ไปเชยชมกรุงโตรอนโต และฝ่าความหนาวเหน็บไปไกลถึงน้ำตกไนแองการ่า จิตใจเราก็ชุ่มฉ่ำเบิกบานตะไท
"โอ้โห.. นี่ถ้าเราจ่ายตังค์มาเที่ยวเองนี่คงแพงมากเลยเนอะ โชคดีได้เป็นแอร์ เลยเที่ยวฟรี" เราทำแอ๊บแบ๊วบอกเพื่อนพร้อมหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ
บัดนี้ ก็ได้เวลาบินกลับอาบูดาบีบ้านหลังใหม่ของเฮาแล้ว
จากความสดใส กระตู้วู้ เช่นเคย.. บัดนี้สันหลังมันวาบๆ และคิดในใจ "เอาอีกแล้วตู.. 13 ชั่วโมง จะรอดมั้ย"
"ไฟลท์เต็มค่ะ" หัวหน้าฝรั่งคนสวยบรีฟเช่นเคย งวดนี้นางไม่ได้ถอนหายใจ แต่กลับหัวเราะในลำคอเบาๆเหมือนคนเครียดจนเสียสติ ลูกเรือทุกคนจึงต่างหัวเราะเจื่อนๆตามแก้เก้อ
เดจาวูมีจริง เหมือนขามาเด๊ะ เพียงแต่ว่าพี่สจ๊วตฝั่งตรงข้ามเราบัดนี้ได้อาสาไปทำที่ครัว และส่งเพื่อนร่วมงานสาวชาวเคนยามาเสิร์ฟแทน ด้วยเหตุผลว่า "เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นเพราะรหัสพี่ซีเนียร์กว่า"
แต่จนจบไฟลท์พี่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สมมติฐานของพี่สจ๊วตนั้นไม่เป็นจริง เราจึงหัวฟูหน้ามันดุจพัดเตาถ่านย่างข้าวเกรียบเฉกเช่นเดียวกับขามา และเดินแทบไม่หยุด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเด็กๆเป็นพักๆ
แต่ณ จุดนี้เราเริ่มโอเค ใช่ว่าเราจะเก่งขึ้นเร็วขนาดนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นในตัวเราโดยไม่รู้ตัวก็คือ..
"ความถึก"
"ขอเก็บขยะค่ะ ขอเก็บถ้วยด้วยค่ะ"
ในระหว่างเดินถือถาดเคลียร์ขยะเราก็ลองคิดๆ
การพูดแต่ภาษาอังกฤษตลอดเวลาจริงๆมันก็ดีแฮะ เพราะเราไม่ต้องไปจ่ายตังค์เรียนแพงๆ แถมได้ฝึกกับชาวต่างชาติเลยนะ และนี่แหละมหาวิทยาลัยชีวิต พร้อมกับค่าตอบแทนที่ดีงาม แถมได้เที่ยวด้วย
พอคิดได้เช่นนี้เราก็แทบจะพนมมือท่วมหัว แต่โชคดีมือจับถาดอยู่ และกลัวผู้โดยสารจะเอาไปเขียนคอมเพลนท์ว่าเราผิดปกติทางจิต เราจึงได้แค่ยิ้มกริ่มและเก็บขยะต่อไป
จบไฟลท์ รอกระเป๋าใหญ่ เดินลากกระเป๋าจากโซนผู้โดยสารขาเข้าไปที่ลานจอดรถตู้
ช่วงค่ำๆนี่ผู้โดยสารมาสนามบินกันมากมายจัง อีตอนขามาเนี่ย เวลาเดินเฉิดฉายที่สนามบินและมีคนมอง เรารู้สึกเจิดมากเลย รู้สึกสวยเทรนดี้มาก แต่ ณ จุดนี้มันเยินมากจริงๆ แถมมีกลิ่นติดชุดคล้ายหัวหอมใหญ่อีกต่างหาก เราจึงอายก้มหน้าและเดินเร็วเพื่อให้ลับตาคนมากที่สุดจนขึ้นรถตู้โดยพลัน
ลืมมันไปให้หมด! เสียบหูฟัง ไม่อยากบ่นนะตอนนี้เพราะหัวชา คิดไม่ออก นึกได้แต่ว่า เรามีวันหยุด 3 วัน กับตารางสแตนด์บาย(รอโทรเรียก) 2 วัน และวันหยุดอีก 2 วัน
แจ่มว้าว! 3 วัน! อิสระเป็นของเรา เราจะทำไรดีน้าา..? ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก.. อุ๊ย น่าร็อกอ่ะ
และแล้ว หลังจากเหยียบเข้าห้องได้ไม่นาน การนอนซ่อมร่างก็บังเกิด เหมือนอดหลับอดนอนมาแต่ชาติปางไหน กล้ามเนื้อขาที่กระตุกเริ่มผ่อนคลาย แล้วเราก็ตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายเกือบเย็น
หมดวันละสินะ!
หาไรกินดีฝ่า.. เปิดตู้เย็นมา โล่งมากกกก
ไม่เป็นไร.. เดินไปแถวนี้ก็ได้ รู้สึกจะมีร้านอาหารจีนนะ
ผ่าง! นับเป็นโปสเตอร์รูปอาหารจีนที่ดูน่ากินน้อยที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งเครื่องเคียงพัลวันและสีอมชมพู ดูพูนๆยังไงพิกล "นี่ข้าวผัดไก่จริงๆหรอ.." ได้แต่คิดในใจแล้วเราก็ซื้อกลับมา
ไม่อร่อยจริงๆด้วย แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน เพราะเรากินอาหารอินเดียไม่เป็น
"คิดถึงบ้านอ่ะ.. รู้งี้กลับบ้านดีกว่า กลับตอนนี้คงไม่ทัน พ่อแม่เหนื่อยเปล่าๆ กว่าจะขับมาจากนครปฐม" เรานั่งซึมอยู่บนโต๊ะกินข้าวและเหลือบไปเห็นทีวี นั่นแน่! เรามีทางเลือกละนินาา..
เปิดช่องแรก อ่ะ เต้นๆๆ เต้นกันตลอดเวลา ทีวีช่องของพี่อินเดีย ไม่เป็นไร.. กดเปลี่ยนช่อง อ่ะ ฟังไม่รู้เรื่อง ดูเครียดจัง พูดกันเป็นภาษาอารบิก ไม่เอา.. เปลี่ยนช่อง อ่ะ.. ข่าว CNN ฟังภาษาอังกฤษมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนี่ไม่พอใช่มั้ย!? จะฉลาดอะไรมากมาย อ่ะ.. เปลี่ยนอีกรอบ ก็เจอช่องหนังซึ่งกำลังฉายหนังฮอลลีวูดเก่าๆ ดูแล้วแอบรันทดใจ
เมื่อก่อนตอนอยู่ไทย ไม่ดูละครนะ ชอบอะไรอินเตอร์ๆอ่ะ แบบใช้ภาษา.. แต่จุดนี้รายการเพลงลูกทุ่งเราก็อยากดูนะ เปิดมาเถอะ ข่าวภาคค่ำก็ได้ หรือจะสารคดีลิง สิงโต ปาปิรันยาอะไรเราก็อยากดู ขอแค่เป็นภาษาไทยเถอะ
3 วันที่หยุดจึงผ่านไปอย่างไร้ชีวิตจิตใจและไม่อร่อย.. จนถึงวันสแตนด์บาย
นั่งมองโทรศัพท์ ตื่นเต้นมากมาย สแตนด์บายตั้ง 10 ชั่วโมง ..เราจะบินไปประเทศไรนาา แพ็คเสื้อผ้าใส่เป๋าพร้อม
ใจนี่เต้นรัวๆเลย ..
และเมื่อผ่านไปแล้วครึ่งวัน จึงรู้ตัวว่าไม่ถูกเรียก เราเลยหลับสแตนด์บายไปจนหมดเวลา
ตื่น ซึม เปิดคอม..
ระหว่างนั่งเหี่ยวต่อเน็ตจากWifiที่ลอยมาฟรีทางหน้าต่างในช่วงหัวค่ำ ก็พบว่า.. วันพรุ่งนี้ สแตนด์บายเปลี่ยนเป็นวันหยุด!
ตบมือสิคะ!.. รออะไร
ซื้อตั๋ว ลากกระเป๋า เรียกแท็กซี่ พุ่งตรงกลับไทยทันที
วินาทีนี้ไม่อยากอินเตอร์แล้ว สำนึกรักบ้านเกิดมาเต็ม
"ป๊าแม่ มารับหนูที พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าจ้า" โทรกลับไทยโดยไม่สำเหนียกเลยว่าที่นั่นกำลังจะเที่ยงคืน ฮ่าาาาาา... ฟิน ☺️
มันสุขมากกก ได้กลับบ้าน นั่งมอเตอร์ไซค์ เดินตลาด ซื้อลูกชิ้นหมูข้างทาง เหมือนดูกระแดะแต่ไม่ใช่ คือมันรู้สึกขาดจริงๆ
เดินเข้าซุปเปอร์ ปกติต้องดูลดราคาหาป้ายเหลือง ตอนนี้หยิบใส่ๆเหมือนได้ฟรี เทียบกับต่างประเทศแล้วของบ้านเราถูกเหลื๊อเกิน และเราต้องเอากลับไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ I will survive ณ จุดนี้
วันบินกลับ เราจึงพกหมูไป 3 กิโล ใบกะเพรา เต้าหู้ไข่ พริกกับกระเทียมบด ซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ มะม่วง และอีกมากมาย รวมน้ำหนักกระเป๋าขากลับถึงเกือบ 30 กิโล
เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวราวกระพริบตา ..
ตื่นตี 5 มาขึ้นรถ ระหว่างทางไปสุวรรณภูมิ เราประเดิมเมาท์แตกน้ำลายแตกฟองให้พ่อกับแม่ฟัง
"โอ๊ยย.. หนูอ่ะนะ จะบินไปกลับอาบูดาบีบ่อยขนาดไหนก็ได้ ตั๋วถูกก หนูจ่ายแค่ 10% ดีงามมม แจ่ม นั่งไปกลับๆถี่เหมือนนครปฐม-อนุสาวรีย์ชัยยังได้เรยย"
เดินมั่นหน้าไปเช็คอิน ยื่นพาสปอร์ตและยืนยิ้มกริ่มรอตั๋วส่ายหัวไปมา
แหม่.. เคาท์เตอร์เพิ่งเปิด มาเช้าจริงเรา
"ไฟลท์เต็มค่ะ ไปนั่งสแตนด์บายก่อน อีก 50 นาทีค่อยกลับมา"
"สแตนด์บาย? สแตนด์บายอะไรคะ?" มาโหมดใสใส วัยรุ่นงง
"สแตนด์บายรอตั๋วไง มันโอเวอร์บุ๊ค ไม่มีที่ว่างเลย"
..เราเริ่มยืนตัวแข็ง เอาละสิตู
"แต่น่าจะได้จั๊มพ์ซีทนะ" พี่กราวน์สตาฟตอบและยิ้ม ประหนึ่งบอกข่าวดีที่เราควรดีใจ
"อ่อ.. แล้วปกติคุณไม่ต้องต่อคิวตรงนี้นะ คุณต้องไปจดชื่อขอจัมพ์ซีทกับพี่คนนี้ที่เคาท์เตอร์ข้างๆก่อน"
" มีงี้ด้วยเหรอ.. ?? " เราอึ้งแต่ไม่ได้พูดอะไร
ได้แต่เดินมาจดชื่อและนั่งรอตรงที่นั่งข้างหน้าเคาท์เตอร์เช็คอินแบบงงๆ
ซึ่งผู้โดยสารก็เริ่มแห่แหนกันเข้ามาต่อคิวไม่ขาดสาย และทยอยรับตั๋วไปที่ด่านต.ม.
"แล้วทำไมเขาไม่ให้ตั๋วหนูล่ะลูก?" พ่อแม่เรางง
"เขาว่าไฟลท์เต็มจ้ะ เลยต้องรอ 50 นาที" เราก็ตอบแบบงงๆ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป บรรยากาศเริ่มตึงเครียด อายพ่อแม่เล็กๆที่โม้ไว้จนไม่กล้าสบตาเพราะไม่เคยอ่าน conditions ตั๋วราคาพิเศษมาก่อน เอาแต่เต้นเร่าๆดีใจที่ได้ซื้อตั๋วถูก
รอจนขบวนแอร์มาก็แล้ว.. ผู้โดยสารในแถวหายไปหมดก็แล้ว และเคาท์เตอร์ที่เปิดเต็มทุกช่อง ก็ทยอยปิดลง จนเหลือเพียง 2 เคาท์เตอร์สุดท้ายก็แล้ว
เหลือบเห็นพ่อมองนาฬิกาด้วยความกังวล และเห็นแม่หน้าเริ่มถอดสี
"ขอให้ได้กลับเถอะ อย่าตกไฟลท์เลย" เราเริ่มอธิษฐานในใจ
ไม่เอาแล้วล่ะ กลับกรุงเทพฯ ถ้ามันต้องเครียดแบบนี้ ยอมอยู่อาบูดาบีในวันหยุดก็ได้
"นี่ใช่ไหม.. สิทธิพิเศษของนางฟ้า ที่ทุกคนกล่าวขานถึง"
จบตอนนี้ละกัน ถึงพีคสุดของฟีลลิ่งละ
แล้วลองมาติดตามกันนะคะ.. ว่าเป็นอย่างไรต่อไป
อยากขอชี้แจงว่า กระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาให้คนมองในแง่ลบเสมอไปนะคะ มีหลายช่วงที่มีความสุข มีได้เที่ยวปนเปกันไป แต่อยากนำเสนอว่า ในทุกความสวยงามและเลอค่า บางครั้งเราก็ต้องแลกมันมาด้วยอะไรบางอย่างที่คนอาจไม่เคยเข้าใจ
เจ้าของกระทู้จึงร้อยเรียงมาเป็นเรื่องจากความทรงจำให้ทุกคนได้อ่านกัน แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปแน่นอนค่ะ ^ ^
ส่วนใครที่อยากอ่านงานเขียนเรื่องเล่าของเจ้าของกระทู้ย้อนหลัง เราลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่เลยนะคะ :
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอน 3 : นี่หรือ.. ที่เค้าเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : นี่หรือ.. ที่เค้าเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
ปล.เริ่มเครียดนิดๆนะ - -" เปลี่ยนโหมด
"หลังจากที่ไปเชยชมกรุงโตรอนโต และฝ่าความหนาวเหน็บไปไกลถึงน้ำตกไนแองการ่า จิตใจเราก็ชุ่มฉ่ำเบิกบานตะไท
"โอ้โห.. นี่ถ้าเราจ่ายตังค์มาเที่ยวเองนี่คงแพงมากเลยเนอะ โชคดีได้เป็นแอร์ เลยเที่ยวฟรี" เราทำแอ๊บแบ๊วบอกเพื่อนพร้อมหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ
บัดนี้ ก็ได้เวลาบินกลับอาบูดาบีบ้านหลังใหม่ของเฮาแล้ว
จากความสดใส กระตู้วู้ เช่นเคย.. บัดนี้สันหลังมันวาบๆ และคิดในใจ "เอาอีกแล้วตู.. 13 ชั่วโมง จะรอดมั้ย"
"ไฟลท์เต็มค่ะ" หัวหน้าฝรั่งคนสวยบรีฟเช่นเคย งวดนี้นางไม่ได้ถอนหายใจ แต่กลับหัวเราะในลำคอเบาๆเหมือนคนเครียดจนเสียสติ ลูกเรือทุกคนจึงต่างหัวเราะเจื่อนๆตามแก้เก้อ
เดจาวูมีจริง เหมือนขามาเด๊ะ เพียงแต่ว่าพี่สจ๊วตฝั่งตรงข้ามเราบัดนี้ได้อาสาไปทำที่ครัว และส่งเพื่อนร่วมงานสาวชาวเคนยามาเสิร์ฟแทน ด้วยเหตุผลว่า "เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้นเพราะรหัสพี่ซีเนียร์กว่า"
แต่จนจบไฟลท์พี่ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สมมติฐานของพี่สจ๊วตนั้นไม่เป็นจริง เราจึงหัวฟูหน้ามันดุจพัดเตาถ่านย่างข้าวเกรียบเฉกเช่นเดียวกับขามา และเดินแทบไม่หยุด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเด็กๆเป็นพักๆ
แต่ณ จุดนี้เราเริ่มโอเค ใช่ว่าเราจะเก่งขึ้นเร็วขนาดนั้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นในตัวเราโดยไม่รู้ตัวก็คือ..
"ความถึก"
"ขอเก็บขยะค่ะ ขอเก็บถ้วยด้วยค่ะ"
ในระหว่างเดินถือถาดเคลียร์ขยะเราก็ลองคิดๆ
การพูดแต่ภาษาอังกฤษตลอดเวลาจริงๆมันก็ดีแฮะ เพราะเราไม่ต้องไปจ่ายตังค์เรียนแพงๆ แถมได้ฝึกกับชาวต่างชาติเลยนะ และนี่แหละมหาวิทยาลัยชีวิต พร้อมกับค่าตอบแทนที่ดีงาม แถมได้เที่ยวด้วย
พอคิดได้เช่นนี้เราก็แทบจะพนมมือท่วมหัว แต่โชคดีมือจับถาดอยู่ และกลัวผู้โดยสารจะเอาไปเขียนคอมเพลนท์ว่าเราผิดปกติทางจิต เราจึงได้แค่ยิ้มกริ่มและเก็บขยะต่อไป
จบไฟลท์ รอกระเป๋าใหญ่ เดินลากกระเป๋าจากโซนผู้โดยสารขาเข้าไปที่ลานจอดรถตู้
ช่วงค่ำๆนี่ผู้โดยสารมาสนามบินกันมากมายจัง อีตอนขามาเนี่ย เวลาเดินเฉิดฉายที่สนามบินและมีคนมอง เรารู้สึกเจิดมากเลย รู้สึกสวยเทรนดี้มาก แต่ ณ จุดนี้มันเยินมากจริงๆ แถมมีกลิ่นติดชุดคล้ายหัวหอมใหญ่อีกต่างหาก เราจึงอายก้มหน้าและเดินเร็วเพื่อให้ลับตาคนมากที่สุดจนขึ้นรถตู้โดยพลัน
ลืมมันไปให้หมด! เสียบหูฟัง ไม่อยากบ่นนะตอนนี้เพราะหัวชา คิดไม่ออก นึกได้แต่ว่า เรามีวันหยุด 3 วัน กับตารางสแตนด์บาย(รอโทรเรียก) 2 วัน และวันหยุดอีก 2 วัน
แจ่มว้าว! 3 วัน! อิสระเป็นของเรา เราจะทำไรดีน้าา..? ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก.. อุ๊ย น่าร็อกอ่ะ
และแล้ว หลังจากเหยียบเข้าห้องได้ไม่นาน การนอนซ่อมร่างก็บังเกิด เหมือนอดหลับอดนอนมาแต่ชาติปางไหน กล้ามเนื้อขาที่กระตุกเริ่มผ่อนคลาย แล้วเราก็ตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายเกือบเย็น
หมดวันละสินะ!
หาไรกินดีฝ่า.. เปิดตู้เย็นมา โล่งมากกกก
ไม่เป็นไร.. เดินไปแถวนี้ก็ได้ รู้สึกจะมีร้านอาหารจีนนะ
ผ่าง! นับเป็นโปสเตอร์รูปอาหารจีนที่ดูน่ากินน้อยที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเห็นมา ทั้งเครื่องเคียงพัลวันและสีอมชมพู ดูพูนๆยังไงพิกล "นี่ข้าวผัดไก่จริงๆหรอ.." ได้แต่คิดในใจแล้วเราก็ซื้อกลับมา
ไม่อร่อยจริงๆด้วย แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรกิน เพราะเรากินอาหารอินเดียไม่เป็น
"คิดถึงบ้านอ่ะ.. รู้งี้กลับบ้านดีกว่า กลับตอนนี้คงไม่ทัน พ่อแม่เหนื่อยเปล่าๆ กว่าจะขับมาจากนครปฐม" เรานั่งซึมอยู่บนโต๊ะกินข้าวและเหลือบไปเห็นทีวี นั่นแน่! เรามีทางเลือกละนินาา..
เปิดช่องแรก อ่ะ เต้นๆๆ เต้นกันตลอดเวลา ทีวีช่องของพี่อินเดีย ไม่เป็นไร.. กดเปลี่ยนช่อง อ่ะ ฟังไม่รู้เรื่อง ดูเครียดจัง พูดกันเป็นภาษาอารบิก ไม่เอา.. เปลี่ยนช่อง อ่ะ.. ข่าว CNN ฟังภาษาอังกฤษมาทั้งวันทั้งคืนแล้วนี่ไม่พอใช่มั้ย!? จะฉลาดอะไรมากมาย อ่ะ.. เปลี่ยนอีกรอบ ก็เจอช่องหนังซึ่งกำลังฉายหนังฮอลลีวูดเก่าๆ ดูแล้วแอบรันทดใจ
เมื่อก่อนตอนอยู่ไทย ไม่ดูละครนะ ชอบอะไรอินเตอร์ๆอ่ะ แบบใช้ภาษา.. แต่จุดนี้รายการเพลงลูกทุ่งเราก็อยากดูนะ เปิดมาเถอะ ข่าวภาคค่ำก็ได้ หรือจะสารคดีลิง สิงโต ปาปิรันยาอะไรเราก็อยากดู ขอแค่เป็นภาษาไทยเถอะ
3 วันที่หยุดจึงผ่านไปอย่างไร้ชีวิตจิตใจและไม่อร่อย.. จนถึงวันสแตนด์บาย
นั่งมองโทรศัพท์ ตื่นเต้นมากมาย สแตนด์บายตั้ง 10 ชั่วโมง ..เราจะบินไปประเทศไรนาา แพ็คเสื้อผ้าใส่เป๋าพร้อม
ใจนี่เต้นรัวๆเลย ..
และเมื่อผ่านไปแล้วครึ่งวัน จึงรู้ตัวว่าไม่ถูกเรียก เราเลยหลับสแตนด์บายไปจนหมดเวลา
ตื่น ซึม เปิดคอม..
ระหว่างนั่งเหี่ยวต่อเน็ตจากWifiที่ลอยมาฟรีทางหน้าต่างในช่วงหัวค่ำ ก็พบว่า.. วันพรุ่งนี้ สแตนด์บายเปลี่ยนเป็นวันหยุด!
ตบมือสิคะ!.. รออะไร
ซื้อตั๋ว ลากกระเป๋า เรียกแท็กซี่ พุ่งตรงกลับไทยทันที
วินาทีนี้ไม่อยากอินเตอร์แล้ว สำนึกรักบ้านเกิดมาเต็ม
"ป๊าแม่ มารับหนูที พรุ่งนี้ 7 โมงเช้าจ้า" โทรกลับไทยโดยไม่สำเหนียกเลยว่าที่นั่นกำลังจะเที่ยงคืน ฮ่าาาาาา... ฟิน ☺️
มันสุขมากกก ได้กลับบ้าน นั่งมอเตอร์ไซค์ เดินตลาด ซื้อลูกชิ้นหมูข้างทาง เหมือนดูกระแดะแต่ไม่ใช่ คือมันรู้สึกขาดจริงๆ
เดินเข้าซุปเปอร์ ปกติต้องดูลดราคาหาป้ายเหลือง ตอนนี้หยิบใส่ๆเหมือนได้ฟรี เทียบกับต่างประเทศแล้วของบ้านเราถูกเหลื๊อเกิน และเราต้องเอากลับไปให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ I will survive ณ จุดนี้
วันบินกลับ เราจึงพกหมูไป 3 กิโล ใบกะเพรา เต้าหู้ไข่ พริกกับกระเทียมบด ซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ มะม่วง และอีกมากมาย รวมน้ำหนักกระเป๋าขากลับถึงเกือบ 30 กิโล
เวลาแห่งความสุขผ่านไปไวราวกระพริบตา ..
ตื่นตี 5 มาขึ้นรถ ระหว่างทางไปสุวรรณภูมิ เราประเดิมเมาท์แตกน้ำลายแตกฟองให้พ่อกับแม่ฟัง
"โอ๊ยย.. หนูอ่ะนะ จะบินไปกลับอาบูดาบีบ่อยขนาดไหนก็ได้ ตั๋วถูกก หนูจ่ายแค่ 10% ดีงามมม แจ่ม นั่งไปกลับๆถี่เหมือนนครปฐม-อนุสาวรีย์ชัยยังได้เรยย"
เดินมั่นหน้าไปเช็คอิน ยื่นพาสปอร์ตและยืนยิ้มกริ่มรอตั๋วส่ายหัวไปมา
แหม่.. เคาท์เตอร์เพิ่งเปิด มาเช้าจริงเรา
"ไฟลท์เต็มค่ะ ไปนั่งสแตนด์บายก่อน อีก 50 นาทีค่อยกลับมา"
"สแตนด์บาย? สแตนด์บายอะไรคะ?" มาโหมดใสใส วัยรุ่นงง
"สแตนด์บายรอตั๋วไง มันโอเวอร์บุ๊ค ไม่มีที่ว่างเลย"
..เราเริ่มยืนตัวแข็ง เอาละสิตู
"แต่น่าจะได้จั๊มพ์ซีทนะ" พี่กราวน์สตาฟตอบและยิ้ม ประหนึ่งบอกข่าวดีที่เราควรดีใจ
"อ่อ.. แล้วปกติคุณไม่ต้องต่อคิวตรงนี้นะ คุณต้องไปจดชื่อขอจัมพ์ซีทกับพี่คนนี้ที่เคาท์เตอร์ข้างๆก่อน"
" มีงี้ด้วยเหรอ.. ?? " เราอึ้งแต่ไม่ได้พูดอะไร
ได้แต่เดินมาจดชื่อและนั่งรอตรงที่นั่งข้างหน้าเคาท์เตอร์เช็คอินแบบงงๆ
ซึ่งผู้โดยสารก็เริ่มแห่แหนกันเข้ามาต่อคิวไม่ขาดสาย และทยอยรับตั๋วไปที่ด่านต.ม.
"แล้วทำไมเขาไม่ให้ตั๋วหนูล่ะลูก?" พ่อแม่เรางง
"เขาว่าไฟลท์เต็มจ้ะ เลยต้องรอ 50 นาที" เราก็ตอบแบบงงๆ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป บรรยากาศเริ่มตึงเครียด อายพ่อแม่เล็กๆที่โม้ไว้จนไม่กล้าสบตาเพราะไม่เคยอ่าน conditions ตั๋วราคาพิเศษมาก่อน เอาแต่เต้นเร่าๆดีใจที่ได้ซื้อตั๋วถูก
รอจนขบวนแอร์มาก็แล้ว.. ผู้โดยสารในแถวหายไปหมดก็แล้ว และเคาท์เตอร์ที่เปิดเต็มทุกช่อง ก็ทยอยปิดลง จนเหลือเพียง 2 เคาท์เตอร์สุดท้ายก็แล้ว
เหลือบเห็นพ่อมองนาฬิกาด้วยความกังวล และเห็นแม่หน้าเริ่มถอดสี
"ขอให้ได้กลับเถอะ อย่าตกไฟลท์เลย" เราเริ่มอธิษฐานในใจ
ไม่เอาแล้วล่ะ กลับกรุงเทพฯ ถ้ามันต้องเครียดแบบนี้ ยอมอยู่อาบูดาบีในวันหยุดก็ได้
"นี่ใช่ไหม.. สิทธิพิเศษของนางฟ้า ที่ทุกคนกล่าวขานถึง"
จบตอนนี้ละกัน ถึงพีคสุดของฟีลลิ่งละ
แล้วลองมาติดตามกันนะคะ.. ว่าเป็นอย่างไรต่อไป
อยากขอชี้แจงว่า กระทู้นี้ ไม่ได้มีเจตนาให้คนมองในแง่ลบเสมอไปนะคะ มีหลายช่วงที่มีความสุข มีได้เที่ยวปนเปกันไป แต่อยากนำเสนอว่า ในทุกความสวยงามและเลอค่า บางครั้งเราก็ต้องแลกมันมาด้วยอะไรบางอย่างที่คนอาจไม่เคยเข้าใจ
เจ้าของกระทู้จึงร้อยเรียงมาเป็นเรื่องจากความทรงจำให้ทุกคนได้อ่านกัน แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปแน่นอนค่ะ ^ ^
ส่วนใครที่อยากอ่านงานเขียนเรื่องเล่าของเจ้าของกระทู้ย้อนหลัง เราลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่เลยนะคะ :
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596